สาธารณรัฐนาอูรู ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ เคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเคยเป็นอาณานิคมของออสเตรเลีย นิวซีเแลนด์ และอังกฤษ
หลังจากประกาศเป็นรัฐเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้วนั้น สาธารณรัฐนาอูรูมีการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นของตนเอง และเป็นสาธารณรัฐที่เล็กที่สุดในโลก
เกาะนาอูรูนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนที่มั่งคั่งและสมบูรณ์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนจากนานาชาติ เป็นหนึ่งในรัฐที่ร่ำรวยที่สุดในโลก


ผู้คนส่วนมากสร้างที่อยู่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง


สิ่งที่ทำให้เกาะนาอูรูเฟื่องฟูและติดอันดับรัฐที่ร่ำรวยคือ ที่ใจกลางเกาะนี้มีแร่ฟอสเฟตธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เป็นสวรรค์ของนักลงทุน รวมไปถึงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวต่างๆเพื่อเชิญชวนชาวต่างชาติสำหรับการอยู่อาศัยและลงทุนในทรัพยากรแร่ฟอสเฟตนี้
แร่ฟอสเฟต เป็นวัตถุดิบสารประกอบที่นำมาใช้สำหรับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง เบเกอรี่ อุตสาหกรรมปุ๋ย อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และในอุตสาหกรรมดอกไม้ไฟ เป็นต้น


และยังมีสายการบินแห่งชาติเป็นของตนเอง โดยสร้างสนามบินเพื่อความสะดวกของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางไปยังเกาะนี้


ในปี1974 เกาะนาอูรูมีค่าจีดีพีต่อหัวเป็นอันดับที่2 ของโลก ในช่วงที่ประเทศมั่งคั่งจากการเปิดให้ขุดเหมืองแร่ฟอสเฟต การทำเศรษฐกิจบนเกาะนี้แทบจะเรียกว่าสวรรค์เลยก็ว่าได้ เพราะคุณไม่ต้องเสียภาษี และยังมีบริการต่างๆที่ฟรี เช่นคนขับรถหรูสำหรับเที่ยวชมรอบเกาะ ผู้คนบนเกาะต่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งตู้เย็น ไมโครเวฟ รถยนต์ จนก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในยุคนั้น


แต่ในช่วงปี1990 แร่ฟอสเฟตเริ่มลดน้อยลง ส่งผลทำให้เศรษฐกิจของเกาะนาอูรูเริ่มชะลอตัว ทำให้รัฐบาลต้องหาวิธีเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นฝันร้าย เพื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจไม่ทำให้นักลงทุนมั่นใจ และยังส่งผลต่อภาวะการท่องเที่ยวของเกาะอีกด้วย เนื่องจากผลจากการทำเหมืองแร่ ทำให้พื้นที่กว่า 80% ของเกาะเสียหาย การท่องเที่ยวของเกาะน้อยลง สัตว์และสิ่งมีชีวิตถูกทำลายกว่า40%

ธรรมชาติและความเขียวขจีบนเกาะที่หายไป



เมื่อนโยบายส่งเสริมการทำเหมืองแร่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป รัฐบาลเกาะนาอูรูจึงออกนโยบายอื่นๆเพื่อดึงรั้งนักลงทุนไว้ เช่น การขายพาสปอร์ต การเปิดให้แหล่งฟอกเงิน การขายแรงงานผู้อพยพ แต่นโยบายเหล่านี้กลับได้รับการต่อต้านจากชาวนาอูรู, องค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรนานาชาติต่างๆ



ในที่สุดฝันร้ายก็มาถึง สาธารณรัฐนาอูรูจากประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก กลายเป็นประเทศที่ยากจน ผู้คนบนเกาะเกือบ1หมื่นคนต้องอพยพออก กลายเป็นผู้อพยพในประเทศรอบๆ

ส่วนผู้คนที่อยู่บนเกาะก็เผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต มีอัตราความเครียดสูง การเป็นอยู่แร้นแค้นเนื่องจากไม่สามารถใช้พื้นที่ทำเกษตรกรรมบนเกาะได้ ผู้คนเลิกสนใจในสุขภาพของตน รับประทานอาหารกระป๋องคุณภาพต่ำ มีอัตราการสูบบุหรี่เกือบ50%ของคนที่อยู่บนเกาะ และมีประชากรที่เป็นเบาหวานมากที่สุดในโลก

ปัจจุบัน เกาะนาอูรูยังต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

เมื่อเศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถรักษาไว้ได้จากนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาล ทำให้ประเทศที่เคยรุ่งเรืองกลับสู่ประเทศยากจน รัฐบาลเองก็ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ต่างชาติได้เนื่องจากขาดผู้นำที่มีประสบการณ์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและธรรมชาติ พร้อมต้องเผชิญภัยธรรมชาติยิ่งทำให้เกาะนาอูรูต้องอยู่ในฝันร้ายนี้ไปอีกยาวนาน
เรียบเรียง MONA